วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความแตกต่างระหว่าง "การทำงานกับการทำเงิน"






ความแตกต่างระหว่างการทำงานกับการทำเงิน 

มีหลายครั้งที่คนเรา ไม่สามารถแยกการทำงานออกจากการทำเงินได้ เนื่องจากงานกับเงิน มีลักษณะที่คล้ายคลึง เหมือนพี่น้องพ่อเดียวกัน แต่อาจจะเกิดกันคนละแม่ วิสัยทัศน์จึงค่อนข้างจะต่างกัน ทำให้เส้นทางชีวิตดำเนินกันไปคนทิศทาง ( คนหนึ่งจน อีกคนรวย ) 
ในหัวข้อนี้ เราจะมาทำการวิเคราะห์เจาะลึกความแตกต่างระหว่าง การทำงานกับการทำงเงิน เพื่อที่เราจะได้นำไปเป็นแนวทางในการศึกษา 

การทำงาน...คือการก้มหน้าก้มตาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง "เงิน" แต่จะได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้มาแน่นอนก็คืองาน ได้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันเวลาที่เสียไป และได้ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด คือความไม่รู้หรือไม่เต็มใจทำ "เรียกว่าการทำงาน" 

การทำเงิน...คือการก้มหน้าก้มตาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง "เงิน" และสิ่งที่ได้แน่นอนคือเงิน เพราะทำเงินก็ต้องได้เงิน แต่มีข้อแม้อยู่ว่า 
1.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องเป็นสิ่งที่รัก 
2.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฏหมาย 
3.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลธรรม 

1.ถ้าเราทำในสิ่งที่รักหรือเต็มใจ... เราก็จะทำสิ่งเหล่านั้นออกมาได้ไม่ดี แล้วค่าตอบแทนที่ได้มาก็จะสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ทำลงไป คือไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจจะทำให้เหน็ดเหนื่อยหรือสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงไม่สามารถจะเรียกสิ่งที่ทำอยู่นั้นว่า "เป็นการทำเงิน" ไม่ได้ 

2.ถ้าเราทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย...ถึงแม้เราอาจจะมีเงินทองกองพะเนิน มีเงินร้อยล้านพันล้านอยู่เต็มบัญชี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีโอกาสได้ใช้เงินทั้งหมดนั้นอย่างเต็มที่เต็มกำลัง เพราะถึงยังไง เมื่อทำผิดกฏหมาย สมบัติทั้งหมดก็จะถูกอายัดหรือยึดไว้ เป็นต้น 

3.ถ้าเราทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม...ก็จะมีวิบากกรรมตามมาส่งผล ทำให้กลายเป็นคนที่อับจนข้นแค้น ไม่มีอันจะกิน ไม่มีงานทำ ชีวิตก็จะยิ่งลำบากเพิ่มมากขึ้น ร้อยเท่าพันเท่า เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจจะเรียกตรงนี้ว่าเป็นการ "ทำเงิน" ด้วยเหมือนกัน 

ความแตกต่างของคนที่ชอบ "ทำงาน" กับคนที่ชอบ "ทำเงิน" 

คนที่ชอบทำงาน...มักจะจัดอยู่ในกลุ่มประเภท "คนจน" จนในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่จนทรัพย์ แต่หมายถึงจนปัญญาด้วย คือไม่รู้ว่า...ฉันจะพัฒนาตนเองไปได้อย่างไรที่จะทำให้คนอย่างฉัน มีเงินมีทองใช้อย่างเหลือเฟือ โดยที่ฉันไม่ต้องทำงานหนัก เมื่อเขาคิดว่า เขาสามารถทำได้แค่งานหนักๆ งานที่ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงงานเท่านั้น...เขาก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะของการฝืนทนและฝืนทำ ความกระหายที่จะสุขสบายก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ความอยากได้ใคร่มีก็ไม่เคยจบสิ้น เขาจึงกลายเป็นคนที่จนทรัพย์สินและจนปัญญา มีแนวโน้มที่จะไปทำสิ่งที่ผิดกฏหมายและผิดศีลธรรมได้ดีกว่าคนที่ มั่งมีศรีสุข 
เพราะความจนทำให้คน "เห็นแก่ตัว" คนจนจึงไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก 

คนที่ชอบทำเงิน...มักจะอยู่ในกลุ่มของคนรวย เศรษฐี ผู้มีอันจะกิน นักธุรกิจและนังลงทุนก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคนรวยเหล่านั้น อาจจะไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยอับจนเลยคือ "ปัญญา" เพราะพวกเขาจะคิดเสมอว่า การทำงานที่คุ้มค้านั้น มันต้องมีผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การทำงานแล้วเหนื่อยฟรีไปทั้งชีวิต คนรวยจึงพยายามศึกษาหาต้นทุน กล้าเสี่ยง กล้าลงทุนเพื่อวันข้างหน้า อาจจะต้องยอมเหนื่อยไปก่อนในช่วงแรกๆ แต่คนร่ำรวยเหล่านี้มักจะเห็นภาพความมั่งมีชัดเจนมากในหัวสมอง และมั่นใจเสมอว่า ตนเองสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต 
เพราะฉะนั้น...ทัศนคติในแง่ลบ จึงไม่ค่อยปรากฏในความรู้สึกนึกคิดของคนกลุ่มนี้ หรือมีก็มักจะมองปัญหาเหล่านั้นเล็กน้อยเท่าขี้เล็บ ความอิสระในความคิดและการตัดสินใจจึงมีมากกว่า ทางเลือกในการใช้ชีวิตก็มีมากกว่าด้วย 


คนสารพัดขี้
https://www.facebook.com/khonsarapadkee
https://thestupidarticles.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ติชม ด่าทอ สาปแช่ง บอกรัก