วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำไมโลกนี้ต้องมี "ครู"




ทำไมโลกนี้ต้องมี "ครู" 

ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด...คนทุกคนล้วนพกพาความโง่มาด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งครูทางธรรมเรียกว่า "อวิชชาแปลว่าความไม่รู้ รู้ในที่นี้หมายถึง "รู้แจ้ง เห็นจริงไม่ใช่รู้ด้วยตาเนื้อ หรือตำราวิชาการต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากมนุษย์ ที่มีกิเลสกันทั้งนั้น ซึ่งให้คุณแค่การใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์หลังจากที่ตายไปแล้ว 

ศาสนา "พุทธจึงไม่ใช่ศาสนาแห่งความเชื่อ แต่เป็นศาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้พิสูจน์ ทดลอง และปฏิบัติด้วยตัวเอง โดยใช้โยนิโสมนัสสิการเป็นเครื่องชี้นำ หลังจากนั้นก็ให้ปฏิบัติตามอริยมรรค์มีองค์ ๘ คือทางสายกลางที่จะทำให้พ้นทุกข์ 

จะเห็นได้ว่า "ความเชื่อผิดๆนั้น นำพาผู้คนให้ดิ่งลงสู่มหานรกมานับไม่ถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ตายก่อน แค่ทำผิดกฏหมาย ผิดศีลธรรม...ก็มีวิธีการลงโทษทางสังคมให้เจ็บปวดและอับอาย จนแทบจะไม่มีจุดยืนอยู่ในสังคม นับว่าน่าสงสาร ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนกลุ่มนั้นขาด "ครูคอยชี้นำสั่งสอน เป็นแสงสว่างให้กับทางเดินของชีวิต หากพวกเขามีครูคอยให้วิทยาทานความรู้ ปัญหาทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น ชีวิตของพวกเขาก็จะมีความสุข รวมถึงครอบครัว สังคมและประเทศชาติด้วย 

ใครที่สามารถเป็นครูได้ 

เมื่อนึกถึงคำว่า "ครูหลายคนก็จะนึกถึงผู้ทรงคุณวุฒิและวัยวุฒิ ทำหน้าที่บรรยายความรู้อยู่ในโรงเรียน อาชีพครูเป็นอาชีพที่สังคมยกย่องมาก แต่ในที่นี้คำว่าครู หมายถึง "ผู้ถ่ายทอดดังนั้น...บุคคลที่จะเป็นนักถ่ายทอดจึงไม่เกี่ยวกับสาขาวิชาชีพ ซึ่งใครก็สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นๆได้ ขึ้นอยู่กับน้ำจิตน้ำใจอันดีงาม 

เพราะธรรมชาติของคนเรานั้น...ล้วนแล้วแต่มีทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครเก่งที่สุด มีแต่คนที่เก่งเฉพาะเรื่อง...การถ่ายทอดเฉพาะเรื่องที่เก่งก็นับว่ามีคุณแก่ผู้อื่นแล้ว เช่นแม่ค้าขายส้มตำถ่ายทอดการทำอาหารให้กับผู้ที่สนใจ พ่อกับแม่สอนให้ลูกทำความสะอาดบ้าน เด็กนักเรียนเตือนคุณครูไม่ให้สูบบุหรี่ หากเด็กนักเรียน กำลังเห็นคุณครูทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เกิดประโยชน์ ก็ถือว่าเด็กนักเรียนคนนั้น เป็นครูด้วยเหมือนกัน 

เห็นไหมว่า...การเป็นครู ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในโรงเรียน ขอแต่เป็นผู้ที่รักและหวังดีกับคนอื่นแล้ว ล้วนเป็นครูได้ทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นผู้ที่มีน้ำใจที่งดงาม  

คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไปลก
https://www.facebook.com/khonsarapadkee
https://thestupidarticles.blogspot.com/

ครูทางธรรม



ครูทางธรรม 

ก่อนที่เราจะเป็นครูทางธรรม เราก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "ธรรมก่อนเช่นกัน ธรรมในที่นี้มีความหมายด้วยกันอยู่สองประการคือ 

1.ธรรมชาติ...คือความจริงของชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกนีั นับตั้งแต่ร่างกายของเราออกไปจนถึงคน สัตว์ สิ่งของทั้งหมด ล้วนมีความจริงของชีวิตเหมือนกันคือ เกิดแก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา 

2.ธรรมะ...คือความจริงของชีวิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ ปฏิบัติ และถ่ายทอด อันประกอบไปด้วยพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ คือพระรัตนตรัย เป็นแสงสว่างที่จะทำให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ อันเนื่องมาจากธรรมชาติของการเวียน ว่าย ตาย เกิดนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงเสาะแสวงหาวิธีการพ้นทุกข์ ทรงลองผิดลองถูกด้วยวิธีการต่างๆ แต่สุดท้ายก็ทรงค้นพบหนทางสายกลาง คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย 

  1. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง หมายถึง ความรู้-ปัญญา หรือมุมมอง ที่ถูกต้องตรงกับความจริง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 
  1. สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดที่ถูกต้อง หมายถึง ความคิดที่ต้องละเว้นจากความพอใจ ความพยาบาทและการเบียดเบียน 
  1. สัมมาวาจา คือ เจรจาที่ถูกต้อง หมายถึง การพูดที่ต้องละเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียดและเพ้อเจ้อ 
  1. สัมมากัมมันตะ คือ การปฏิบัติที่ถูกต้อง หมายถึง การกระทำที่ต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์และประพฤติผิดในกาม 
  1. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง หมายถึง การทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการทุจริตและเอาเปรียบผู้อื่น 
  1. สัมมาวายามะ คือ ความเพียรที่ถูกต้อง หมายถึง ความอุตสาหะหรือความพยายามที่อยู่ในวิถีทางที่ดีงาม คือการละบาปอกุศลทางใจ และเจริญกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป 
  1. สัมมาสติ คือ การมีสติที่ถูกต้อง หมายถึง การระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา โดยกำจัดความฟุ้งซ่าน รำคาญ หดหู่ ง่วงซึม สงสัย และลังเล คือการพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เช่นการเจริญอานาปานสติสมาธิ มีสติรู้ลมหายใจ 
  1. สัมมาสมาธิ คือ การมีสมาธิที่ถูกต้อง หมายถึง การฝึกกายและอารมณ์ให้สงบ โดยกำจัดควาคิด,ความจำและอารมณ์ออกไปชั่วขณะหนึ่ง คือการเจริญฌานทั้งสี่ 
ข้อความทั้งหมดนี้อ้างอิงมาจาก https://th.wikipedia.org/wiki/ 

ย่อลงมาเป็น ๓ ข้อย่อยๆคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นสาธุชนทั่วไป คือ ทาน ศีล ภาวนา แต่โดยรายละเอียดนั้นจะยังไม่ขอกล่าวถึง 

เนื่องจากการใช้ชีวิตบนโลกของความเป็นจริง ความทุกข์ไม่ได้เกิดที่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังเกิดที่จิตใจด้วย ธรรมะจึงเป็นแนวทางปฏิบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้จิตใจของเราพ้นไปจากความทุกข์ คือการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงเป็นครูในทางธรรม  

หากเราปารถนาที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข ความรู้ทั้งสองด้านนี้ นับเป็นประโยชน์กับชีวิตเป็นอย่างมาก จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เพราะโลกกับธรรมนั้น แม้จะมีเป้าหมายที่สวนทางกัน แต่เอื้อประโยชน์ให้กันและกันเสมือนเหรียญสองด้าน 

คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป
https://www.facebook.com/khonsarapadkee
https://thestupidarticles.blogspot.com/

ติชม ด่าทอ สาปแช่ง บอกรัก