วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลูกค้าคือพระเจ้า!!! จริงหรือ...???




ูกค้าคือพระเจ้า!!! จริงหรือ...??? 

ว่าด้วยเรื่องของลูกค้านั้น ใครๆก็อยากเป็น เพราะไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มีเงินในกระเป๋าก็ควักออกไปใช้ ( สินค้าและบริการ ) ได้เลย ว่าแต่มีเงินหรือเปล่าเท่านั้นแหละ วันนี้เลยอยากจะมาวิเคราะห์เจาะลึก สำนวน ( รั่ง ) ที่ว่านี้ เอาแบบตีแผ่กันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ชนิดที่คนคิดจะนำไปใช้ต้องหวาดผวากันเลยทีเดียว 

ความหมายของสำนวนที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" 

ลูกค้า...คือผู้ที่มีเงิน และนำเงินที่มีนั้นไปใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการ ซึ่งลูกค้าอาจจะไม่มีเวลา ปัญญา หรือขี้เกียจทำเป็นต้น จึงนำทรัพย์สมบัติที่ตนเองรักและหวงแหนที่สุดออกมาแลกเปลี่ยน เพื่อยังชีวิตของตนให้อยุู่รอดปลอดภัยต่อไป ซึ่งลูกค้านี้ใครๆก็เป็นได้ ขอแค่มีเงิน ไม่จำกัดว่าจะมีเงินมากหรือน้อย เอาเป็นว่าหน้าตามันเป็นเงินก็แล้วกัน จากนั้น...จะมีคนยอมรับจำนวนเงินของเราหรือไม่นั้น ก็อีกเรื่องหนึ่ง 

พระเจ้า...คือเทพเจ้า ( ผู้สร้างโลก ) ที่ใช้ชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์ อันเป็นความเชื่อของชาวต่างชาติ ที่นับถือศาสนาคริสต์  
พระเจ้า...คือเทวดาผู้มีบุญบารมี เมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์รักในการสั่งสมบุญ เมื่อละโลกไปจึงได้ไปเกิดบนสรวงสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ๆใครๆต่างก็หมายปอง ( รวมทั้งผู้เขียนด้วย ) เพราะบนสวรรค์ชั้น้ามีแต่สิ่งที่น่าดูชม มีความสะดวกสบาย มากกว่าโลกมนุษย์นี้เป็นร้อยเท่าพันทวี คำว่า "พระเจ้า" จึงหมายถึงผุู้ที่ทำคุณความดี ควรค่าแก่การยกย่องกราบไหว้ 
เพราะฉะนั้นสำนวนที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" ก็คือ...ผู้ที่ทำคุณความดี ควรค่าแก่การยกย่องกราบไหว้ ถ้าใครมีเงิน ก็หมายถึงมีพระเจ้าอยู่ในตัว ยิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ความเป็นพระเจ้าก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น มีอภิสิทธิ์มีบรรดาศักดิ์ สามารถชี้เป็นชี้ตายได้!!! ผู้ที่อับจนส่วนใหญ่จึงต้องยอมศิโรราบ ให้กับผู้มีเงิน ( มาก ) ก็เพราะสำนวนที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" นี่แหละ 

ลูกค้าคือพระเจ้า!!! จริงหรือ...??? 
ยังเป็นสิ่งที่น่าสงสัย และน่าศึกษา แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกที่ไม่กังขากับสำนวนที่ว่านี้เลย ก้มหน้าก้มตายอมทำตามความต้องการของพระเจ้าอยู่ทุกอย่าง "พระเจ้ามีเงิน" ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า ที่ยอมนั้น เพราะพระเจ้าหรือเพราะเงิน เพราะบางที "พระเจ้า" ที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้นั้น ก็ไม่ได้มีลักษณะที่น่ากราบไหว้เลยสักนิด เช่น ผุู้ที่ไม่มีจรรยามารยาท ขาดคุณธรรมและศีลธรรม แต่อาศัยอำนาจเงินในกระเป๋าเท่านั้น จึงทำให้ผู้คนยอมก้มหัวให้ ซึ่งมันสวนทางกับความหมายของคำว่า "พระเจ้า" ที่แปลว่า ผู้ที่คำคุณงามความดี จนได้ใช้ชีวิตอยู่บนสรวงสวรรค์ 
พระเจ้าที่ว่านี้ จึงอยู่ในคราบของมนุษย์ ที่ยังมีกิเลสอยู่ คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ควรกราบบ้างไม่ควรกราบบ้าง และความจริง พระเจ้าก็ยังต้องอาศัยปัจจัย 4 มาหล่อเลี้ยงร่างกาย ก็แสดงว่า ปัจจัย 4 นั้นมีความจำเป็นมากกว่า แล้วระหว่างเงินที่อยู่ในกระเป๋าของพระเจ้า กับปัจจัย 4 บนโลกมนุษย์อะไรมีความจำเป็นมากกว่ากัน 

ความเป็นมาของสำนวนที่ว่า "เงินคือพระเจ้า" 
ก่อนที่เราจะปักใจเชื่อ หรือศรัทธาสิ่งใดก็ตาม เราพึงทำความเข้าใจความเป็นมาของสิ่งนั้นๆให้ดีเสียก่อน เช่นสำนวนที่ว่านี้ เป็นสำนวนที่ชาวตะวันตก ใช้พูดกันเป็นปกติ 
เพราะอะไร? เพราะรั่งนับถือเทพเจ้า เป็นสังคมอุตสาหกรรมและสามารถพึ่งพาอาศัยตัวเองได้ตั้งแต่ยังเด็ก 
ที่ว่า "รั่ง" นับถือเทพเจ้านั้น...ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่สอนคน ให้เป็นคนดี แต่เนื้อหา วิธีการ และรูปแบบการนำเสนอนั้น มีทั้งส่วนที่ต่างและคล้ายคลึงกับศาสนาพุทธ แต่เทพเจ้า คือพระเยซู เป็นบุคคลที่ดีงามที่สุดแล้วในศาสนาคริสต์ คนที่นับถือศาสนานี้จึงเปรียบเปรย สิ่งที่มีคุณค่าเสมือนหนึ่งว่าเป็นเทพเจ้า ซึ่งนั่นก็คือ "เงิน" เพราะเงินสามารถแลกเปลี่ยนกับปัจจัย 4 และสิ่งที่เราต้องการได้ทุกอย่าง 
ส่วนที่ว่า เป็นสังคมอุตสาหกรรม คือส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องของไฮเทคโนโลยี สิ่งปลูกสร้างที่ทันสมัย เครื่องไม้เครื่องมือที่อำนวยความสะดวก ความศรีวิไลกับการพัฒนา จะพบว่าบุคคลต้นแบบส่วนใหญ่จะเป็นคนชาวตะวันตกกันทั้งนั้น เช่นนักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งต่างจากสังคมไทยพุทธเรา จะเน้นหนักไปที่เกษตรกรรม...ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก็เริ่มจากการทำการเกษตรนี่แหละ คือการแสวงหาปัจจัย 4 มาหล่อเลี้ยง  
สาเหตุที่เราเป็นเช่นนี้...เพราะสังคมไทยเรานั้น นับถือศาสนาพุทธ เพราะพุทธเจ้าให้ความสำคัญกับปัจจัย 4 มากกว่า เงินเป็นเพียงแค่สิ่งอำนวนความสะดวกในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น แต่ไม่สามารถจะนำมาใช้ทดแทนปัจจัย 4 ได้ เช่นคนที่หิวข้าวก็ต้องกินข้าว จะไปกินเงินได้ยังไง? ต่อให้ยัดมันเข้าไปได้ ก็ใช่ว่ามันจะมีแร่ธาตุสารอาหาร ที่จำเป็นกับมนุษย์ 

สาเหตุที่ทำให้สำนวนนี้ เข้ามาอยู่ในเมืองไทย 
ถึงแม้ว่า "เงินคือพระเจ้า" จะเป็นของ แต่ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อย เกิดและโตที่เมืองนอก จึงซึมซับเอาศิลปะวัฒนธรรมของชาวต่างชาติเข้ามาไว้ในตัว เมื่อกลับมาอยู่ในเมืองไทย จึงได้นำเอาสำนวนที่ว่านี้เข้ามาอยู่ด้วย คิด พูด และทำ กับสำนวนจนเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นสำนวนที่ติดปากกันไปอย่างแพร่หลาย ( แม้แต่สังคมชนบทยังพูดได้  
ซึ่งก็มีคนไทย จำนวนหนึ่ง นำสำนวนที่ว่านี้ไปใช้กันแบบผิดๆถูกๆ เกิดประโยชน์บ้างไม่เกิดประโยชน์บ้าง สร้างความผิดใจให้กับคนไทยด้วยกันอยู่ไม่น้อย เพราะทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับวิถีชีวิตของชนชาวไทย หนำซ้ำ...คนไทยที่ใช้นั้น ก็ไม่ได้เกิดและโตที่เมืองนอก จึงไม่เข้าใจมูลเหตุของคำว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" 
สาเหตุที่ชาวตะวันตก มองว่าลูกค้าคือพระเจ้านั้น เพราะฝรั่งรู้จักพึ่งพาอาศัยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ( หนุ่ม ) เมื่อโตขึ้นมาสักพัก ก็ออกหางานทำ ไม่รบกวนผู้หลักผู้ใหญ่ คือรู้จักเรียนและทำงานไปพร้อมๆกันด้วย เมื่อเรียนจบจึงกลายเป็นบุคคลากรที่สำคัญของประเทศชาติ สามารถทำงาน หาเงิน พึ่งพาอาศัยตัวเองได้แบบไม่ง้อใคร ทำให้เกิดความชัดเจนในการแลกเปลี่ยน คือซื้อเป็นซื้อ ใช้เป็นใช้ ขายเป็นขาย และตัดสินกันที่ผลงาน คุณภาพจริงๆ ไม่นิยมเส้นสาย ไม่ได้งานภายใต้ระบบของครอบครัว คือดึงเอาเฉพาะญาติสนิทมิตรสหายของตัวเท่านั้นเข้าทำงาน แต่ฝรั่งจะรักษามาตรฐาน ตัดสินกันที่ผลงานจริงๆ ทั้งยังรู้จักแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวด้วย ทำให้สังคมในการทำงานนั้นเต็มไปด้วยความเจริญรุดหน้า ซึ่งต่างจากสังคมไทย เน้นระบบเครือญาติเป็นหลัก มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างพี่น้องผองเพื่อน ก็นับเป็นสิ่งที่ดี  แต่ก็มีข้อเสียคือ ทำให้ระบบซื้อขายไม่ชัดเจน แล้วเกิดปัญหา!!! 

ชัดเจนในการซื้อขาย 
จริงอยู่ว่า "ฝรั่ง" ใช้สำนวนที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" เป็นเรื่องปกติ แต่ก็นับว่าเป็นสำนวนที่ดีงามและเหมาะ กับบริบทของชาวตะวันตกเป็นอย่างมาก  
การซื้อขายที่ชัดเจน...คือการตีคุณค่า ตีสินค้าและบริการนั้นๆออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม และต้องแลกเปลี่ยนด้วยเงินเท่านั้น แต่ถ้าจะแลกเปลี่ยนด้วยวิธีการอื่น ก็ต้องตกลงกันอย่างชัดเจน ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย นั่นคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งถ้าเกิดว่าใครประกอบอาชีพที่สุจริต และประสบความสำเร็จ ก็จะได้รับการยกย่องชื่นชมกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เอาจริงเอาจัง จนทำให้คนที่ทำงาน หรืออยากจะทำงานเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆออกมา ฝรั่งจึงสามารถคิดค้นและผลิตนวัตกรรมใหม่ๆออกมาได้ดี และห่างไกลมากเมื่อเทียบกับสังคมชาวไทย ในข้อนี้  
แต่เนื่องจากชาวตะวันตก มีความเจริญก้าวหน้าด้านการผลิตสิ้นค้า ประชากรส่วนใหญ่จึงมุ่งหวังที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์มากกว่าเป็นผู้ให้บริการ เพราะการเป็นผู้ผลิตสินค้าดูจะมีความภาคภูมิมากกว่า แม้เช่นนั้น "ฝรั่ง" ก็ไม่เคยที่จะละเลยการให้เกียรติผู้ให้บริการ เพราะถึงแม้ว่าจะเป้นหน้าที่ๆไม่สูงส่ง แต่ก็เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และถือว่าผุู้ที่ทำหน้าที่บริการนั้น มีจิตใจที่ดีงาม สามารถทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำได้ยาก...วัฒนธรรมการตอบแทนน้ำใจจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งนั้นก็คือ "ทิป" 
"ทิป" ภาษาอังกฤษแปลว่าอะไรผมก็ไม่รู้ แต่เหมาเอาว่าทิปนี้ จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าในตัวของคนอื่น ทุกครั้งที่ฝรั่งให้ทิปเด็กเสิร์ คนส่งกระเป๋า เด็กนวด หรือแม้แต่ช่างตัดผม มันเกิดขึ้นจากน้ำจิตน้ำใจของพวกเขาจริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว "ทิป" จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ เพราะไม่เกี่ยวกับสินค้าและบริการ  
แต่ฝรั่งก็ให้ทิปเป็นเรื่องปกติ คือเห็นคุณค่าในตัวของคนอื่นจนเป็นเรื่องปกติ และถ้าใครทำให้ถูกใจ หรือทำผลงานนั้นๆออกมาเป็นอย่างดี ทิปนั้นก็จะยิ่งมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเป็นทางมาของทรัพย์มากกว่ารายได้ประจำด้วย 
เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่า คำว่า "พระเจ้า" นั้นไม่แค่ผู้มีเงิน แต่ต้องเป็นผู้ที่มองเห็นคุณค่าในตัวของผู้อื่นด้วย เห็นว่าสินค้าและบริการนั้นก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า "เงิน" เราจึงให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฝรั่งให้เกีรติซึ่งกันและกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนเลวนะ เพราะทุกสังคมทุกประเทศชาติ ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน 
ที่นี้...ย้อนกลับมาสู่สังคมไทย เนื่องจากสังคมพุทธเราอยู่กันอย่างระบบเครือญาติ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เพราะคนไทยเรามีทั้ง คนดีและคนไม่ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งบางคนก็เป็นผู้ที่ให้อย่างเดียว ผู้รับก็รับอย่างเดียว เกิดความไม่เสมอภาค ทำให้ "ผู้ให้" เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่อยากเสียเปรียบ ก็เกิดทิฏฐิ ส่วนผู้รับก็รับซะจนเคยตัว ไม่คิดจะเป็นผู้ให้บ้างเลย ทำให้สภาพจิตของคนไทยส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนไป คือไม่มีใครอยากเสียเปรียบ มีแต่อยากได้เปรียบ เมื่อเป็นผู้ขาย ก็อยากจะขายในราคาที่แพงและลดต้นทุน พอเป็นผู้ซื้อ ก็มุ่งหวังสินค้าและบริการที่ดีที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุด...ผู้ซื้อส่วนใหญ่ จึงให้ความสนใจกับสินค้าราคาถูกเอาไว้เป็นหลัก "แอบ" มีวัฒธรรมไม่อยากเสียเปรียบเก็บซ่อนไว้อยู่ในใจ จึงเริ่มวางตัวเป็น "พระเจ้า" คือ "ฉันมีเงิน เงินคือพระเจ้า ทุกคนต้องก้มหัวให้ฉัน ไม่งั้นฉันก็ไม่ให้เงิน" ไม่เพียงแค่นั้น ยังเพิ่มวัฒนธรรมต่อรองราคาเข้าไปอีก 
เรียกได้ว่านำสำนวนของฝรั่ง เข้ามาใช้กันเต็มๆ โดยไม่รู้เลยว่าสำนวนที่ว่านั้น เขาใช้กันยังไง? ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่ใช้สำนวนนี้ จะพุ่งเป้าไปที่ความต้องการของตัวเองเป็นหลัก คืออยากให้ผู้อื่นมาก้มหัวให้ ไม่ได้โกัสไปที่คุณค่าในตัวของคนอื่น เมื่อไม่เห็นคุณค่า วัฒนธรรมการตอบแทนน้ำใจก็ไม่เกิดขึ้นด้วย 
"ทิป" เป็นส่วนน้อยมากที่คนไทยจะให้ หรือถ้าจะให้ก็อาจไม่ได้ให้เพราะเห็นคุณค่า แต่เพื่อรักษาใบหน้าของตัวเองมากกว่าเพื่อไม่ให้คนอื่นมาดูถูก แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่เสมอไปกับคนไทยทุกคนหรอกนะ คนไทยที่น้ำใจงามก็มี 
ผู้เขียนเพียงแค่วิเคราะห์ภาพรวมให้ังเอานั้น เพราะคนไทยที่มีน้ำใจอย่างแท้จริงก็มี เพราะเราเป็นสังคมไทยพุทธ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา เป็นเรื่องปกติ  ซึ่งก็มีคนปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา 
ด้วยเหตุนี้ "เงินคือพระเจ้า" จึงเป็นสำนวนที่ดีงาม มีคุณค่าแก่การปฏิบัติเมื่ออยู่กับ "ฝรั่ง" แต่ไม่เหมาะกับบริบทของสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง หากจะใช้ก็ต้องใช้ให้เป็น คือย้อนกลับไปศึกษาคำว่า "พระเจ้า" ให้ละเอียด พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียของชาวตะวันตกให้ชัดเจนด้วย แล้วจึงนำมาใช้ เพราะถ้าเกิดว่านำมาใช้ในทางที่ผิด แทนที่จะมีคนรักกลับมีคนเกลียดมากยิ่งขึ้น แล้วจะพานทำให้สังคมรังเกียจตามไปด้วย 
"รังเกียจ" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงรังเกียจเงิน เพราะเงินไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผิดที่เจ้าของเงินที่ไม่ยอมให้เกียรติคนอื่น คนที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริการ มองว่าเงินนั้นมีคุณค่ามากกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจัย 4 ต่างหากล่ะ ที่มีคุณค่ามากกว่าเงิน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดการซื้อขาย ถ้าไม่มีผู้ขายการซื้อนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้  
ดังนั้นการให้เกียรติซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่ปวงชนชาวไทยจะนำกลับมาใช้ ผู้เขียนไม่ได้รังเกียจรังงอนความเป็นไทยหรือฝรั่ง เพราะทั้งคนไทยและฝรั่งต่างก็เป็น "สัพเพสัตตา" คือสัตว์หลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย แต่ในที่นี้ ขอให้นำข้อดีทั้งของคนไทยและฝรั่งมาใช้ให้เป็นประโยชน์ 
เช่น เมื่อเราจะใช้สำนวน "ลูกค้าคือพระเจ้า" ถ้าจะเป็นฝรั่งก็ต้องเป็นฝรั่งให้ชัดเจน ถ้าจะรักษาเอาไว้ซึ่งความเป็นไทย ก็ต้องเป็นไทยให้กระจ่างด้วยเช่นกัน แล้วอย่างนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร กับคนไทยหรือฝรั่ง เราก็จะเป็นคนที่มีความสุขและมอบความสุขให้กับคนอื่นๆได้ด้วย 


วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำเงินให้ได้ตลอดรอดฝั่ง




ทำเงินให้ได้ตลอดรอดฝั่ง 

การทำเงิน ก็เหมือนกับการทำงานทั่วๆไป หากอยากบรรลุเป้าหมายอันสูงสุด  จำเป็นต้องมีคุณธรรมขั้นพื้นฐาน 3 
1.วินัย 2.เคารพ 3.อดทน 

วินัย...คุณจำเป็นต้องมีวินัยต่อการทำเงินในกระเป๋าของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเสาะแสวงหา หรือแม้แต่เป็นการจับจ่ายใช้สอย เพราะถ้าเกิดว่าคุณไม่มีวินัย คือไม่สามารถจะจัดสรรค์วันเวลา เพื่อสนองความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเงินในกระเป๋าได้ "เงิน" ก็คงไม่มีความสุข ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณ เพราะว่าเงินจะรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีคุณค่า เงินจึงพยายามหาทางไปอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าในตัวเงิน "มากกว่า" ณ จุดนี้ เราต้องพิจารณาตัวเอง!!! 

เคารพ...เมื่ออยากทำเงิน หรืออยากมีเงินมาไว้ในครอบครองมากๆ คุณก็จำเป็นต้องให้ความเคารพกับตัวเงิน ที่คุณกำลังจับจ่ายใช้สอยนั้นด้วย "เคารพ" ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ให้คุณกองเงินเอาไว้ตรงหน้า แล้วก้มลงกราบ ไม่ใช่!!! เพราะตรงนั้นมันคือการแสดงความเคารพ แต่การเคารพที่แท้จริง คือการมองเห็นคุณงามความดีในตัวของเงิน เมื่อคุณมองเห็นดังนั้นแล้ว คุณจึงรู้สึกรักและผูกพัน อยากจะทนุถนอมเงินเอาไว้ให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่แน่นอนว่า..."เงิน" ก็คงไม่สามารถจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณไปได้ตลอดชีวิต เช่นเดียวกับบุตรและธิดา ที่จะต้องจำหน่ายจ่ายแจกไปในที่สุด แต่ก่อนที่คุณจะนำบุตรและธิดาของตัวเอง ไปแลกเปลี่ยนกับบุตรและธิดาของคนอื่น คุณต้องมั่นใจจริงๆว่า บุตรและธิดาของคนอื่น มีค่าคู่ควรกับแก้วตาดวงใจของคุณจริงๆ 
เงินก็เช่นกัน...หากว่าคุณจะเอาเงินไปแลกเปลี่ยนกับอะไรนั้น มันก็เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณ ตีค่าเงินที่อยู่ในกระเป๋า ว่ามีค่าเสมอเหมือนสิ่งนั้นๆ  และหากว่าคุณนำเงินของคุณไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษภัย ก็เท่ากับว่าคุณ มไม่ได้ให้ความเคารพเงินที่อยู่ในกระเป๋าของคุณ เท่าที่ควร แล้วเงินจะอยู่กับคุณได้ยังไง 

อดทน...การทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จในทันที ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยความอดทน วัน และเวลา แต่ถ้าเกิดว่าคุณทำเงินได้แล้ว ก็จะสามารถนำเงินที่ได้มานั้น ไปทำอะไรก็ได้ตามแต่คุณจะพอใจ และตัวเงินนี่แหล่ะจะทำให้คุณกิน ขี้ ปี้ นอน ได้อย่างสบายอกสบายใจ จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคุณจึงจำเป็นต้องใช้ความอดทน ฝ่าฟันกับปัญหาและอุปสรรคเพื่อจะได้ไปให้ถึงเส้นชัย ในโลกของการทำงานก็มักจะมีระยะของการฝึกงาน ราว 4-5 เดือน แต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว คุณก็จะได้รับการบรรจุหรือเคลื่อนย้ายตำแหน่ง การทำเงินก็เช่นเดียวกัน จะเร็วจะช้าก็ขึ้นอยู่กับวินัย เคารพ อดทน ที่คุณมีต่อเงิน ถ้าคุณมีน้อย คุณก็ได้เงินน้อยและได้เงินช้า แต่ถ้าคุณมีมาก คุณก็ได้เงินมากและได้เงินเร็ว อันนี้ก็ต้องไปพิสูจน์กันเอาเอง 

คุณและโทษของการทำเงิน 
การทำเงิน ก็เหมือนกับการทำงาน หากใครก็ตามที่ทำงานเก่ง ได้รับการยกย่องจากเจ้าขุนมูลนาย ก็มักจะถูกเพ่งเล็งจากพวกที่ไม่หวังดี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านความอิจฉาริษยาทั้งหลาย คนที่ทำงานเก่ง จึงมักจะถูกสกัดดาวรุ่งด้วยวิธีการต่างๆ  
การทำเงินก็เช่นกัน...หากว่าใครสามารถทำเงินได้มาก จนได้รับสมยานามว่า เป็นมหาเศรษฐี อภิอัครมหาเศรษฐี ก็มักจะถูกเพ่งเล็งจากพวกคนจนที่ขี้อิจฉาริษยา และเป็นขาเม้าส์ขาวิจารณ์ อาจทำให้คนที่ชอบ "ทำเงิน" ทั้งหลายต้องหมองมัวไปด้วยอุจจาระและปัสสาวะที่อยู่ในรูปากของชาวบ้าน 
ดังนั้น...หากคิดที่จะทำเงิน หรือกำลังทำเงินอยู่ ก็ให้เตรียมกายเตรียมใจเอาไว้ตั้งรับ พวกปากเยี่ยวปากกาที่คอยจิกทึ้งเอาไว้ด้วย  
สุดท้ายนี้ ด้วยรักและหวังดี คนสารพัดขี้ ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่าน มีความสุขและความสำเร็จไปกับการทำงานและการทำเงิน ที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ และหวังว่าเมื่อทุกท่านทำเงินเสร็จ...จะนำเงินมาแบ่งปันให้คนสารพัดขี้บ้างนะ ( 555.... )  

คนสารพัดขี้ 
https://www.facebook.com/khonsarapadkee

ติชม ด่าทอ สาปแช่ง บอกรัก