วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความหมายของคำว่า "ครู"




ความหมายของคำว่า "ครู" 

ครู คือใคร? 
"ครู" คือผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้อันประกอบไปด้วย  "ศาสตร์และศิลป์"  
ศาสตร์ คือความรู้ คือทฤษฎี คือการจดจำ 
ลป์ คือความสามารถ คือภาคปฏิบัติ คือความเข้าใจ 

"ศาสตร์และศิลป์" จึงหมายถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆเป็นพิเศษ เมื่อมีความเชี่ยวชาญดีแล้ว ก็มีความมุ่งหวังว่าจะถ่ายทอดความรู้และความสามารถในด้านนั้นๆ ไปยังผู้อื่นที่กำลังมีความรักและความสนใจ 

"ครู" มาจากรากศัพท์ของคำว่า "ครุ" ที่แปลว่าหนัก...นั่นก็แสดงว่าการที่จะเป็นครูได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บนโลกใบนี้จึงมีครูอยู่ไม่กี่คน เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด แต่ทุกๆคนนั้นก็สามารถเป็นได้ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ความรักและความศรัทธาร่วมด้วย 

เส้นทางของการเป็น "ครู" 

การที่เราจะเป็นครูได้นั้น มีหนทางให้เลือกมากมากมาย แต่ในที่นี้ผมจะขอแยกออกมาเป็นหัวข้อใหญ่ๆ อยู่ 2 หัวข้อคือ 
1.ครูทางโลก 
2.ครูทางธรรม 



ครูทางโลก 
ก่อนที่เราจะเป็นครูทางโลก เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "โลก" ก่อน โลกคือสถานที่อยู่ของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย แม้โลกจะมีลักษณะเป็นทรงกลม มีพื้นที่เอาไว้ให้ใช้สอยเยอะแยะ แต่สิ่งที่มนุษย์และสัตว์จำเป็นต้องใช้จ่ายกันจริงๆ มีด้วยกันอยู่แค่ 4 อย่าง คือปัจจัย 4 อันประกอบไปด้วย 

1.อาหาร...คือธาตุสี่เอาไว้หล่อเลี้ยงร่างกาย ( เลือดเนื้อ ) ซึ่งอาหารนั้นก็มีด้วยกันอยู่สองอย่างคือ อาหารที่มีประโยชน์กับอาหารที่เป็นพิษ แต่ในที่นี้จะยังไม่ขอเอ่ยถึง 

2.เครื่องนุ่งห่ม...คือเครื่องบรรเทาร้อนหนาว อันเกิดจากความแปรปรวนของธาตุ 4 ที่อยู่บนโลกมนุษย์ ทำให้ผู้คนได้รับ ความทุกข์ทรมานและเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่จำเป็นอุย่างมาก มีด้วยกันอยู่สองประเภท คือเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ป้องกันแสงแดดลมฝน กับเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ประดับตกแต่งร่างกายให้สวยงาม 

3.ยารักษาโรค...แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีอาหารและเครื่องนุ่งห่มแล้ว มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นความเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะมันเป็น "สัจธรรม" คือเมื่อพวกเราทุกคนเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายในที่สุด ยารักษาโรคจึงมีความสำคัญด้านการรักษาโรคร้ายต่างๆ เพื่อชะลอความแก่ ความเจ็บและความตาย ซึ่งยารักษาโรคก็มีด้วยกันอยู่สองประเภทเหมือนกัน คือยาช่วยบรรเทาโรคกับยาพิษ 

4.ที่อยู่อาศัย...เมื่อเรามีปัจจัยทั้งสามสิ่งดังหัวข้อข้างบนแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเป็นอยู่ เพราะธาตุสี่ที่อยู่บนโลกมนุษย์นั้น มีความแปรปรวนสูง และบางครั้งก็ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ที่อยู่อาศัยที่มีความมั่นคงแข็งแรง จึงมีความจำเป็นไม่แพ้ปัจจัยใดๆ และส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนส่วนมาก ซึ่งที่อยู่อาศัยนั้น ก็มีด้วยกันอยู่สองประเภท คือที่อยู่อาศัยที่ให้ความรักความอบอุ่น กับที่อยู่อาศัยที่สร้างปัญหาให้กับชีวิต 

เนื่องจากผู้คนมีความต้องการทั้ง 4 อย่างนี้ จึงพากันเสาะแสวงหาด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งสุจริตบ้าง ไม่สุจริตบ้าง หลายคนก็พลาดพลั้งไปทำสิ่งที่ผิดกฏหมาย ผิดศีลธรรม ทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่นั้นตกต่ำลงไปจากความเป็นคน สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติอีกด้วย ดังนั้นวิทยาทานที่จะสอนให้คนเลี้ยงชีพได้อย่างสุจริต จึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อมีวิทยาการที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ ในการประกอบสัมมาอาชีวะ ก็ต้องมีครูผู้ถ่ายทอด ซึ่งก็จัดเป็น "ศาสตร์และศิลป์" อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

"ครู" จึงเป็นอาชีพที่น่ายกย่อง เทิดทูน บูชา เพราะช่วยให้มนุษย์นั้นสามารถเลี้ยงชีพได้โดยสุจริต สร้างความเคารพ รัก ศรัทธาให้กับตัวเอง ทั้งยังเป็นบุคคลหลักที่ช่วยให้คนเรา มีปัจจัย 4 ไว้ใช้สอย ครูจึงเป็นผู้ให้ทุกอย่าง ให้ทั้งความรู้ เลือดเนื้อ และชีวิต 
และนี่ก็คือบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ของครู "ทางโลก" 

คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป
https://www.facebook.com/khonsarapadkee

ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น "ครู"





ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น "ครู" 
อยากเป็นครู...ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ใน "โรงเรียน" 

อารัมภบทก่อน "เขียน" 

"ครู" ใครๆก็อยากเป็น เพราะการเป็นครูก็เหมือนกับการเป็นผู้นำ คือผู้นำความคิด คำพูด และการกระทำ คำว่า "ผู้นำ" จะให้ความรู้สึกภาคภูมิและอิ่มเอมใจ แม้แต่พวกคนเลว เช่น นักเลงหัวไม้หน้าปากซอย หรือมาเฟียค้ากฏหมาย ก็เป็นครูได้ เพราะถือว่าเป็นผู้นำ 

เพราะฉะนั้นไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่ไม่อยากเป็นครู เพียงแค่ว่าใครคนนั้นจะรู้ตัวและหันกลับมาสร้างความเป็นครู ให้กับตัวเองได้หรือเปล่า บทความเรื่องนี้ จะนำเสนอ "ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็นครู" จากง่ายไปสู่ยาก จากหยาบไปสู่ละเอียด จากเล็กไปหาใหญ่ และลุ่มลึกไปตามลำดับ หวังว่าผู้ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น "ครู" จะชื่นชอบบทความนี้นะครับ 

คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป
https://www.facebook.com/khonsarapadkee

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คุณและโทษของการเป็น "คนรัก"




ุณและโทษของการเป็น "คนรัก"

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้ ล้วนเป็นดาบสองคมทั้งนั้น แม้ความรักจะเป็นสิ่งที่สวยงามก็ตาม แต่เพราะมนุษย์ยังมีกิเลสอยู่ ความรักและคนรักจึงอาจไม่ถูกต้องตรงใจ ผู้คนที่มีกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น เฉกเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงค้นพบหลักธรรมคำสอนอันบริสุทธิ์ไว้เพื่อโปรดสัตว์โลก แต่ก็ยังมีมนุษย์บางจำพวก ดูหมิ่นประณามพระองค์ให้ได้รับความเสื่อมเสีย ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์เหล่านั้นยังมีกิเลสอยู่ ความรักความเมตตาที่พระองค์มีให้แก่สัตว์โลก จึงนำพาให้ผู้คนเหล่านั้นเข้ามาทำร้ายพระองค์ ให้บาดเจ็บพระวรกาย เช่นพระเทวทัตที่ทำห้อพระโลหิต จนต้องตกนรกหมกไหม้ 

แล้วเหตุใดความรักฉันหนุ่มสาว ของผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งจิตใจยังเต็มไปด้วยกิเลสจะไม่มีศัตรูคู่แค้น ในหัวข้อนี้ผมจะพูดถึงศัตรูหมายเลขหนึ่งของ "ความรัก" นั่นก็คือ "ความใคร่" 

ความใคร่ "ศัตรู" ของความรัก 

ความใคร่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกับความรัก จะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องฝาแฝดเลยก็ว่าได้ สาเหตุที่เรียกว่าพี่น้อง "ฝาแฝด" ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ แยกกันไม่ค่อยจะออก ว่าอะไรคือ "รัก" อะไรคือ "ใคร่" มักจะเหมารวมว่าเป็นคนๆเดียวกัน งั้นก็แสดงว่าหน้าตาของรักกับใคร่นั้นเหมือนกันมากจนคนแยกไม่ออก

แต่ถึงแม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยของทั้งสองคนก็ต่างกันสุดขั้ว แต่จะต่างกันยังไงนั้นผมจะไม่ขออธิบายให้ยืดยาว ขอให้ย้อนกลับไปดูคุณสมบัติของความรัก ในบทที่แล้วให้ละเอียดถี่ถ้วน แล้วจะได้รู้ว่าเจ้าตัวใคร่ มันไม่มีอะไรดีเลย มันคอยรังแกคนรักทุกอย่าง บางทีไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ให้กำเนิด 

เจ้า "ความใคร่" จะคอยตามติด "ความรัก" ไปด้วยทุกที่ แล้วเมื่อไหร่ที่สบโอกาส ใคร่ก็จะสวมรอยเป็นรัก เนื่องจากว่าใครๆนั้นต่างก็สนใจในตัว "รัก" มากกว่า ใคร่จึงอดอิจฉาไม่ได้ อาศัยช่วงเวลาที่รักเผลอ เข้าไปเก็บเกี่ยวความสุขความพอใจ จากคนที่ให้ความสนใจในตัวรัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีปัญหากันไปหมด เพราะใคร่ตัวเดียว 



ป้องกันความใคร่ 

แม้ใคร่จะหลอกลวงผู้คนมามากแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "ใคร่" จะหลอกผู้คนได้หมดทั้งโลก ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่สามารถรับมือกับใคร่ได้เสมอ นั่นก็คือคนที่มีสติและมีปัญญา 

สติ...คือความไม่ประมาท คือการควบคุมกาย วาจา ใจให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่แสดงความทะเยอทะยานอยากออกไป อันประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง อันเป็นช่องทางให้ความใคร่ในตัวของคนอื่นเข้ามาจัดการกับเราได้ หากเรามีสติ...เราก็จะปิดทุกช่องทาง ต่อให้ความใคร่จะร้ายกายสักแค่ไหน ใคร่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ 

ญญา...คือความรู้แจ้งเห็นจริง ปัญญาจะช่วยทำให้เราแยกแยะออกได้ว่าอะไรคือรัก อะไรคือใคร่ อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร และเมื่อเรามีปัญญา เราก็จะตัดสินใจได้เฉียบคม นำพาชีวิตของเราเข้าไปอยู่บนเส้นทางของความรัก ได้อย่างสวยสดงดงาม ซาบซึ้งตรึงอารมณ์  
เมื่อผู้อ่านๆมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ผู้เขียนก็หวังว่า ผู้อ่านอันเป็นที่รักทุกท่าน และเป็นสัพเพสัตตา คือสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะมีความสุข ความเจริญและความสำเร็จ กับการเป็น "คนรัก" นะครับ 

ใคร่ขอขอบคุณจาก...คนสารพัดขี้ 

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พรสวรรค์และพรรค์แสวง สู่การเป็น "คนรัก"





พรสวรรค์สู่การเป็น "คนรัก" 

"พรสวรรค์" คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด จะเรียกว่าเป็นวิบากกรรม กมลสันดาน หรือเป็นผังสำเร็จก็ว่าได้...จะพบว่าบางคนเกิดมาไม่มีใครสอน ก็สอนตัวเองเป็น รักตัวเอง ดูแลตัวเอง แล้วยังเผื่อแผ่ความรักนั้นไปยังผู้คนรอบข้างอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี ใครได้เป็นเจ้าของชีวิต หรือได้อยู่ใกล้ ก็ทำให้รู้สึกชื่นตาชื่นใจทุกครั้งที่พบเห็น ไปไหนมาไหนใครๆก็รัก มีคนคอยต้อนรับอย่างดียิ่ง ซึ่งพรสวรรค์ของการเป็น "คนรักมีด้วยกันอยู่ 3 ทางคือ 
1.ทางกาย 2.ทางวาจา 3.ทางใจ 

1.ทางกาย...คือการควบคุมกิริยาอาการให้อยู่ในความสงบ ไม่เกะกะระรานใคร หากจะใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ก็ใช้ไปในทางที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นการมีน้ำใจช่วยเหลือคนรักเป็นต้น 

2.ทางวาจา...คือการสำรวมระวังคำพูด ไม่ใช้เสียดแทงจิตใจของใคร หากจะพูดก็พูดจาในเชิงสร้างสรรค์ โดยยึดหลักวาจาสุภาษิต คือ 
1.พูดคำจริง 
2.พูดด้วยถ้อยคำสุภาพ 
3.พูดในสิ่งที่มีประโยชน์ 
4.พูดด้วยจิตที่เมตตา 
5.พูดถูกกาละเทศะ  
หากยึดหลัก 4 ข้อที่ว่านี้ ย่อมเป็น "ที่รักเสมอ 

3.ทางใจ...คือการสำรวมระวังจิตใจ ทั้งความคิดและอารมณ์ ไม่ให้คิดร้ายกับใคร แม้เป็นส่วนที่ลึกและไม่มีใครมองเห็น แต่กระแสของความพอใจหรือไม่พอใจ ก็สามารถส่งมาประทะกันได้ทั้งสิ้น 

ข้อนี้ เมื่ออยู่ในตัวของใคร ก็นับว่า "คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ด้านความรัก ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าหากว่าใครพบว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ หรือไม่เคยมีพรสวรรค์ด้านนี้มาก่อนเลย...แต่อยากมี "คนรักก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับ "พรแสวง"  คือเราสามารถที่จะแสวงหาความรักหรือคนรักได้ แต่มันต้องมีการฝึกฝน เพราะการเป็นคนรัก ก็เหมือนกับการเป็นนักกีฬา หรือการเป็นนักเขียนนี่แหละ ก็ต้องมีการฝึกฝน เมื่อฝึกฝนเข้าบ่อยๆ เดี๋ยวความชำนาญก็เกิดขึ้นมาเอง 




พรแสวงสู่การเป็น "คนรัก" 

พรแสวงคือการเดินทางไปหาสิ่งที่เราต้องการ แม้สิ่งนั้นสจะไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่ก่อนเกิด แต่เราก็เพียรสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อคุณอยากเป็น "คนรักเราก็ต้องฝึกตัวเราเองให้เป็นคนที่น่ารัก ในหัวข้อนี้ผมจะขอยึดหลัก พรหมวิหาร 4 ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ 
1.เมตตา 2.กรุณา 3.มุทิตา 4.อุเบกขา 

ข้อนี้ เคยได้ยินแต่คนเขาพูดถึงว่า เป็นคุณธรรมของพ่อกับแม่ และคุณครู พึงมีไว้ใช้กับลูกหลานและเด็กนักเรียน แต่ในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนสามารถนำมาใช้ได้ ไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลธรรม 

1.เมตตา...คือความรู้สึกรักและสงสาร เมื่อเห็นคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องเจอทุกข์อยู่แล้ว ในฐานะที่เราจะเป็นคนรัก เราจำเป็นต้องเข้าใจความจริงของชีวิต และต้องเห็นใจคนที่รักด้วย จึงจะเรียกว่า "เมตตา" 

2.กรุณา...คือการแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้มองเห็นเป็นรูปธรรม...ในยามทุกข์ยามยาก เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ต่างคนก็ต่างหวังว่าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คำว่า "คนรักนั้น เป็นของแท้แน่นอน ไม่ใช่ของปลอมที่ก็อบกันเกลื่อนตามท้องตลาด 

3.มุทิตา...คือการแสดงความยินดีปรีดา เมื่อคนที่เรารักหรือคนรอบของมีความสุขและความสำเร็จ มุทิตาจิตจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า เรามีความเป็นมนุษย์มากน้อยเพียงใด หากขาดมุทิตาจิตแล้วก็ยากนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ 

4.อุเบกขา...คือการปล่อยวาง ในที่นี้คือการวางตัวให้เหมาะกับงาน ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่เข้ามากระทบมากจนเกินไป แน่นอนว่าชีวิตของคนเราทุกข์คนก็ต้องเจอปัญหา วิ่งเข้ามาทักทายกันเกือบทุกวัน หากเราไม่มีสติ ไม่รู้จักปล่อยวาง อาจจะทำให้การใช้ชีวิตคู่อยู่นั้น ไม่สามารถจะเดินหน้าต่อไปได้ 

เห็นไหมล่ะว่า...พรสวรรค์สู่การเป็นคนรักนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ยากเย็นเลยสักนิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์มากน้อยแค่ไหน เพราะความรักที่ปราศจากความเข้าใจ ย่อมเป็นความรักที่ไม่ยั่งยืน 


คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป 


ติชม ด่าทอ สาปแช่ง บอกรัก