วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พรสวรรค์และพรรค์แสวง สู่การเป็น "คนรัก"





พรสวรรค์สู่การเป็น "คนรัก" 

"พรสวรรค์" คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด จะเรียกว่าเป็นวิบากกรรม กมลสันดาน หรือเป็นผังสำเร็จก็ว่าได้...จะพบว่าบางคนเกิดมาไม่มีใครสอน ก็สอนตัวเองเป็น รักตัวเอง ดูแลตัวเอง แล้วยังเผื่อแผ่ความรักนั้นไปยังผู้คนรอบข้างอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี ใครได้เป็นเจ้าของชีวิต หรือได้อยู่ใกล้ ก็ทำให้รู้สึกชื่นตาชื่นใจทุกครั้งที่พบเห็น ไปไหนมาไหนใครๆก็รัก มีคนคอยต้อนรับอย่างดียิ่ง ซึ่งพรสวรรค์ของการเป็น "คนรักมีด้วยกันอยู่ 3 ทางคือ 
1.ทางกาย 2.ทางวาจา 3.ทางใจ 

1.ทางกาย...คือการควบคุมกิริยาอาการให้อยู่ในความสงบ ไม่เกะกะระรานใคร หากจะใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ก็ใช้ไปในทางที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นการมีน้ำใจช่วยเหลือคนรักเป็นต้น 

2.ทางวาจา...คือการสำรวมระวังคำพูด ไม่ใช้เสียดแทงจิตใจของใคร หากจะพูดก็พูดจาในเชิงสร้างสรรค์ โดยยึดหลักวาจาสุภาษิต คือ 
1.พูดคำจริง 
2.พูดด้วยถ้อยคำสุภาพ 
3.พูดในสิ่งที่มีประโยชน์ 
4.พูดด้วยจิตที่เมตตา 
5.พูดถูกกาละเทศะ  
หากยึดหลัก 4 ข้อที่ว่านี้ ย่อมเป็น "ที่รักเสมอ 

3.ทางใจ...คือการสำรวมระวังจิตใจ ทั้งความคิดและอารมณ์ ไม่ให้คิดร้ายกับใคร แม้เป็นส่วนที่ลึกและไม่มีใครมองเห็น แต่กระแสของความพอใจหรือไม่พอใจ ก็สามารถส่งมาประทะกันได้ทั้งสิ้น 

ข้อนี้ เมื่ออยู่ในตัวของใคร ก็นับว่า "คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ด้านความรัก ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ถ้าหากว่าใครพบว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ หรือไม่เคยมีพรสวรรค์ด้านนี้มาก่อนเลย...แต่อยากมี "คนรักก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับ "พรแสวง"  คือเราสามารถที่จะแสวงหาความรักหรือคนรักได้ แต่มันต้องมีการฝึกฝน เพราะการเป็นคนรัก ก็เหมือนกับการเป็นนักกีฬา หรือการเป็นนักเขียนนี่แหละ ก็ต้องมีการฝึกฝน เมื่อฝึกฝนเข้าบ่อยๆ เดี๋ยวความชำนาญก็เกิดขึ้นมาเอง 




พรแสวงสู่การเป็น "คนรัก" 

พรแสวงคือการเดินทางไปหาสิ่งที่เราต้องการ แม้สิ่งนั้นสจะไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่ก่อนเกิด แต่เราก็เพียรสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อคุณอยากเป็น "คนรักเราก็ต้องฝึกตัวเราเองให้เป็นคนที่น่ารัก ในหัวข้อนี้ผมจะขอยึดหลัก พรหมวิหาร 4 ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ 
1.เมตตา 2.กรุณา 3.มุทิตา 4.อุเบกขา 

ข้อนี้ เคยได้ยินแต่คนเขาพูดถึงว่า เป็นคุณธรรมของพ่อกับแม่ และคุณครู พึงมีไว้ใช้กับลูกหลานและเด็กนักเรียน แต่ในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนสามารถนำมาใช้ได้ ไม่ผิดกฏหมายและไม่ผิดศีลธรรม 

1.เมตตา...คือความรู้สึกรักและสงสาร เมื่อเห็นคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น เกิดมาก็ต้องเจอทุกข์อยู่แล้ว ในฐานะที่เราจะเป็นคนรัก เราจำเป็นต้องเข้าใจความจริงของชีวิต และต้องเห็นใจคนที่รักด้วย จึงจะเรียกว่า "เมตตา" 

2.กรุณา...คือการแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้มองเห็นเป็นรูปธรรม...ในยามทุกข์ยามยาก เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว ต่างคนก็ต่างหวังว่าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คำว่า "คนรักนั้น เป็นของแท้แน่นอน ไม่ใช่ของปลอมที่ก็อบกันเกลื่อนตามท้องตลาด 

3.มุทิตา...คือการแสดงความยินดีปรีดา เมื่อคนที่เรารักหรือคนรอบของมีความสุขและความสำเร็จ มุทิตาจิตจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า เรามีความเป็นมนุษย์มากน้อยเพียงใด หากขาดมุทิตาจิตแล้วก็ยากนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ 

4.อุเบกขา...คือการปล่อยวาง ในที่นี้คือการวางตัวให้เหมาะกับงาน ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่เข้ามากระทบมากจนเกินไป แน่นอนว่าชีวิตของคนเราทุกข์คนก็ต้องเจอปัญหา วิ่งเข้ามาทักทายกันเกือบทุกวัน หากเราไม่มีสติ ไม่รู้จักปล่อยวาง อาจจะทำให้การใช้ชีวิตคู่อยู่นั้น ไม่สามารถจะเดินหน้าต่อไปได้ 

เห็นไหมล่ะว่า...พรสวรรค์สู่การเป็นคนรักนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ยากเย็นเลยสักนิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์มากน้อยแค่ไหน เพราะความรักที่ปราศจากความเข้าใจ ย่อมเป็นความรักที่ไม่ยั่งยืน 


คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป 


วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำไมต้องรัก "ตัวเอง"








ำไมต้องรัก "ตัวเอง" 

เป็นคำถามที่น่าขำ...แต่ก็น่าคิด มีใครหลายคนพูดเสมอว่า "ถ้าไม่รักตัวเอง แล้วใครจะมารัก" 
อันนี้จริง...ถ้าเราไม่รักตัวเองซึ่งเป็นเจ้าของชีวิต อันประกอบไปด้วยเลือดเนื้อ ลมหายใจ และจิตวิญญาณ ก็แสดงว่าตัวเรานั้น ไม่มีคุณค่าเพียงพอที่ใครจะมารัก แล้วใครจะมารัก? 

ธรรมชาติของคนเรา...ไม่มีทางรู้จักใครได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ต่อให้เราวิพาษ์วิจารณ์คนอื่นให้เสียหายยับเยิน วันละร้อยครั้งพันครั้ง แต่เราก็ไม่ได้อยู่กับคนๆนั้นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตัวเราเองต่างหากล่ะ ที่เห็นความคิด คำพูดและการกระทำของตนเอง ตลอดทั้งวันทั้งคืน 

การที่เราไม่รักตัวเอง...ตามหลักจิตวิทยาจึงบอกเราทางอ้อมว่า เรามองเห็นข้อเสียของตัวเองนานับประการไม่ถ้วน จึงไม่คู่ควรที่จะรับความรักจากใคร แต่ถ้าเป็นความใคร่ก็ไม่แน่ เพราะฉะนั้น ต่อให้แสวงหา "คนรัก" มากเท่าไหร่ ก็มักจะเจอแต่ "คนใคร่" เข้ามาหลอกลวงตลอดชีวิต





ักตัวเอง...รักยังไง? 
รักตัวเอง ก็คือการดูแลตัวเอง ซึ่งการดูแลตัวเองก็เหมือนกับการดูแลบ้านเรือน ห้องหับ ยานพาหนะที่เราเป็นเจ้าของ หากสกปรกก็ต้องหมั่นทำความสะอาด ส่วนไหนเสียก็ต้องซ่อม 
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของคนเราก็เหมือนกัน มันเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่า ที่เราจะต้องดูแลรักษาเอาไว้ให้ดี อันที่จริง...มันมีความสำคัญมากกว่าสิ่งของที่อยู่นอกตัวด้วยซ้ำ เมื่อเราเกิดมาแล้วนั้น ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น ดังนั้น... การดูแลตัวเองก็คือ ทำยังไง ถึงจะชะลอความแก่ ความเจ็บ และความตาย ให้ถ่อยห่างจากตัวเราให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ 

เพื่ออะไร? 
ก็เพื่อที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น และได้ทำในสิ่งที่รักมากยิ่งขึ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พึงทำการศึกษาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การกระทำที่ทำให้บ่งบอกว่า "รักตัวเอง" 

1.ความรู้ความสามารถ...จะเรียกว่าศาสตร์กับศิลป์ หรือสติกับปัญญาก็ได้ มีไว้สร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ทั้งด้านการงาน การเงิน และความรัก...หากเป็นผู้ที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ก็นับว่ายังไม่พร้อมที่จะดูแลใครเป็นต้น 

2.ความรับผิดชอบ...ข้อนี้หมายถึงทั้งการดูแลตัวเองและผู้อื่น เพื่อความเจริญก้าวหน้าและความสงบราบรื่นในการใช้ "ชีวิตคู่" 
1.ต้องรักความสะอาด 
2.เป็นระเบียบเรียบร้อย 
3.สุภาพนุ่มนวล 
4.ตรงต่อเวลา 
สี่ข้อนี้...เป็นสิ่งที่สำคัญมากกับคนที่จะมี "คนรัก" เพราะคงไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งสกปรก เละเทะ หยาบคาย และไม่รู้จักเวล่ำเวลา ต่อให้ต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน ก็คงจะหาความสุขไม่ได้ 
การดูแลตัวเองจึงต้องเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว และตัวเราเองก่อน 

คนสารพัดขี้ 
โปรดติดตามตอนต่อไป
https://www.facebook.com/khonsarapadkee

ติชม ด่าทอ สาปแช่ง บอกรัก